“เขตต์ ฐานทัพ” เต็มอิ่ม 20 ปีที่ถูกปั้น ประกาศปิดเกมต้นสังกัดดัชชี่ ! ขอดึงประสบการณ์ปั้นเด็กป้อนวงการด้วยตนเอง

เขตต์-แนท(ย่อไฟล์ 2)22

 

พระเอกหนุ่มหล่อลูกหม้อเก่าเวทีดัชชี่ “เขตต์ ฐานทัพ”ควงภรรยาสาว แนท เปรมิการ์  ประกาศปิดเกมกับอดีตต้นสังกัด พร้อมประกาศขอเป็นป๋าดันเด็กใหม่ให้กับเวทีอื่นอย่าง Utip Freshy Idol เพื่อคัดเลือกน้อง ๆ สาว ๆ วัยทีนรุ่นเจนมาเซ็นต์สัญญาเป็นสาว ๆ บลอสซั่ม เจน ในสังกัดของตัวเอง ประชันกับทางต้นสังกัดเก่า ! ! ! งานนี้แหล่งข่าวแจ้งว่า เขตต์ บุกอดีตต้นสังกัด ขอเคลียร์ตัวเอง เพื่อก้าวสู่การเป็นนักปั้น แทนการถูกปั้น  ตัวเขตต์เองกล่าวว่า…

                   “เราไม่ได้ทะเลาะกันนะครับ เพียงแค่ ณ เวลานี้เราโตพอที่จะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันด้วยตัวเองแล้วครับ ตัวผมเองก็ก้าวเข้าสู่วงการนี้มานานเกือบจะยี่สิบปีแล้ว ผมก็ควรพร้อมที่จะเติบโตด้วยตัวเองและต้องเปลี่ยนสถานะภาพมาเป็นผู้ดูแล  แทนที่จะต้องให้ใครมาดูแล  ผมกับแนทก็เลยมาบริหารบริษัท บลอสซั่ม เจน” เพื่อดูแลและหางานให้สาวๆที่ผ่านการประกวดจากเวที ยูทิป ซึ่งเราก็เข้าไปปรึกษาผู้ใหญ่ ทางดัชชี่และก็บอกท่านตรงๆ  เราจากกันด้วยดีครับ” เขตต์ กล่าว

                   เอ๊า ! จะทะเลาะ ไม่ทะเลาะ ไม่สำคัญ ! มาวัดกันที่ผลงานกันดีกว่า ทั้งเวทีดาวดวงใหม่ Utip Freshy Idol และรายการทีวีที่ตัวเองนั่งแท่นควบคุมดูแลอย่างรายการบลอสซั่ม เจน (แก๊งใสวัยปิ๊ง)  ออกอากาศทุกคืนวันอาทิตย์ ทางโมเดิร์น ไนน์ ทีวี ตั้งแต่เวลา 23.30 24.00 น.

ที่มา : siamevent.com

 

 

ระวังพฤติกรรม 4 จอร้าย…ทำลายสายตา ของหนุ่มสาวทำงานยุคดิจิตอล

13666279991366628148l

 

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

 

ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของเราทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยิ่งนับวันเรายิ่งถูกเทคโนโลยีเหล่านี้ผลักดันให้เราใช้สายมากขึ้นและนานขึ้นในแต่ละวัน โดยเราไม่รู้ตัวว่ากำลังทำร้ายสายตาอยู่

เป็นที่น่าวิตกว่า คนส่วนใหญ่ใช้สายตาทำงานหนักมาก แต่กลับละเลยการดูแลสุขภาพดวงตา จนอาจมีอาการผิดปกติซึ่งส่งผลกระทบต่อการมองเห็นหรือการทำงานของตา จากผลการสำรวจสุขภาพสายตาของคนไทย ของกระทรวงสาธารณสุขที่เคยสำรวจไว้ โดยใช้วิธีตรวจวัดสายตาในกลุ่มวัยแรงงาน ซึ่งมีประมาณ 45 ล้านคน พบว่าร้อยละ 30 มีสายตาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างผิดปกติ โดยคาดว่าขณะนี้จะมีคนไทยไม่ต่ำกว่า 14 ล้านคนมีสายตาผิดปกติ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ทำให้มีอาการเมื่อยตา ตาแห้ง เคืองตา แสบตา แพ้แสง ตาพร่า ปวดตา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยร่วมอื่น ๆ ที่ส่งผลให้เกิดปัญหาสายตา เช่น การทำงานกลางแจ้งและกลางแดดนาน ๆ การอ่านหนังสือในที่ ๆ แสงสว่างไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ เป็นต้น

 

13666279991366628138l

 

 

นพ.อาทิตย์ เจียรนัยศิลาวงศ์ จักษุแพทย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันไลฟ์สไตล์ของคนในวัยทำงานส่วนใหญ่มีแนวโน้มของการใช้คอมพิวเตอร์สูงขึ้น รวมถึงมีการใช้ดวงตาทำสิ่งต่างๆ มากมาย หรือแม้แต่ทำงานในที่ที่มีแสงสว่างไม่เหมาะสม ล้วนแล้วแต่ทำให้ดวงตาเกิดอาการล้า ไม่สบายตา ปวดกระบอกตา ตาพร่ามัว ตาแห้ง กล้ามเนื้อรอบดวงตาเกร็ง เคืองตา น้ำตาไหล ฯลฯ

 

นอกจากจอคอมพิวเตอร์แล้ว ปัจจุบันเราอยู่ในยุคของ Gen S (Generation of Screen) ที่เป็นยุคแห่งโลกดิจิตอล ที่คนส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น และอยู่ท่ามกลาง “จอ” รอบตัว ไม่ว่าจะเป็น จอคอมพิวเตอร์ จอแท็บเล็ต จอมือถือ และจอโทรทัศน์ และนับวันแนวโน้มการใช้สายตาในการมองจอเหล่านี้ยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดเราควรปกป้องและดูแลสุขภาพดวงตาอยู่เสมอ รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพดวงตา และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน และคอเลสเตอรอลสูง เพราะอาหารประเภทนี้อุดมไปด้วยอนุมูลอิสระที่จะไปทำลายเนื้อเยื่อในร่างกายให้เสื่อมสภาพได้ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่นแสงแดดจ้า ลมแรง การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้สายตาในที่ที่มีแสงสลัวหรือแสงที่ไม่เหมาะสม หากจำเป็นต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ก็ควรนั่งในระยะห่างที่เหมาะสม ปรับแสงสว่างหน้าจอให้พอดี หยุดพักสายตาโดยการมองไปที่ไกลๆ เป็นระยะๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อตาคลายตัว กะพริบตาถี่ ๆ บ้าง เพื่อช่วยให้ตาชุ่มชื่น เพิ่มน้ำหล่อลื่นภายในดวงตา รวมถึงต้องพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ หรือเดิน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดที่ดวงตาดีขึ้น ช่วยให้มีสุขภาพตาที่ดี ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจเช็คสุขภาพดวงตาปีละครั้ง และหากมีอาการผิดปกติ เกี่ยวกับการมองเห็น ตาแดง เคืองตา ควรรีบพบจักษุแพทย์

 

Woman's Eye

 

ที่สำคัญควรรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ และอาหารที่ช่วยบำรุงและถนอมดวงตา ข้อมูลจาก อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า การมีสุขภาพดวงตาที่ดีนั้น ต้องเริ่มต้นด้วยการมีโภชนาการที่ดี ซึ่งก็คือ อาหารที่มีสารอาหารแอนติออกซิแดนท์ที่จะพบมากในผักและผลไม้ต่าง ๆ ซึ่งจะมีวิตามินเอ ซี อี เบตาแคโรทีน ลูทีน ซีแซนทิน และไบโอฟลาโวนอยด์ ส่วนเกลือแร่ที่สำคัญสำหรับดวงตาคือสังกะสี ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่มากมายหลายชนิด มีสารอาหารเหล่านั้นสูงเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นบิลเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ แบล็คเคอร์แรนต์ โช้คเบอร์รี่ อาซาอิเบอร์รี่ เอลเดอร์เบอร์รี่ บอยเซ็นเบอรี และฮัคเคิลเบอร์รี่ เป็นต้น

 

อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช เปิดเผยว่า จากการวิจัยเกี่ยวกับโรคตาในหลาย ๆ ประเทศพบว่า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ โดยเฉพาะบิลเบอร์รี่ ที่หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นเคย ซึ่ง บิลเบอร์รี่ ก็คือ บลูเบอร์รี่ที่เราชอบรับประทานกันนั่นเอง จากการศึกษาพบว่า สารแอนโธไซยานินในบิลเบอร์รี่ ซึ่งเป็นสารไบโอฟลาโวนอยด์ที่มีสีแดงม่วงจนไปถึงน้ำเงิน มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูงเมื่อเทียบกับผักและผลไม้อื่น ๆ นอกจากนี้ บิลเบอร์รี่ยังมีวิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีนสูง  ซึ่งล้วนแต่เป็นสารที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน จึงช่วยป้องกันดวงตาจากการทำลายของอนุมูลอิสระ แถมยังช่วยปกป้องเลนส์แก้วตาถูกทำลาย หรือขุ่นมัว อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต้อกระจก และจอประสาทตาเสื่อมอีกด้วย และยังมีหลายผลวิจัยพบว่าสารแอนโธไซยานินในบิลเบอร์รี่ ช่วยป้องกันเส้นเลือดฝอยจากการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ซึ่งลดความเสี่ยงโรคเบาหวานขึ้นตา ต้อหินและต้อกระจกได้หากควบคุมดูแลเบาหวานให้ดี และช่วยป้องกันอาการอ่อนล้าของตาและช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืดหรือที่มีแสงน้อย นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างการสังเคราะห์สารคอลลาเจน เพิ่มความแข็งแรงให้กับผนังหลอดเลือดฝอย จึงเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไหลเวียนของเลือด

 

นอกจากนี้ ยังมีผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อื่น ๆ ได้แก่ แบล็คเคอร์แรนต์ มีส่วนช่วยให้ตารับภาพในเวลากลางคืนได้ดี แครนเบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซีในสูง จึงให้ประโยชน์ในการช่วยดูแลสุขภาพดวงตา โช้คเบอร์รี่ ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดในตาดีขึ้น อาซาอิเบอร์รี่ ช่วยปกป้องการเสื่อมของเลนส์ตาและจอประสาทตาได้ดียิ่งขึ้น เอลเดอร์เบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงจึงช่วยในเรื่องการมองเห็น และไม่นานมานี้ก็มีการวิจัยในอาสาสมัครที่ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่พบว่า การดื่มเอลเดอร์เบอร์รี่ ช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรคไข้หวัดใหญ่ได้เร็วขึ้น และสตรอเบอร์รี่ ที่คนไทยรู้จักกันดีเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า วิตามินซี และวิตามินอี ในปริมาณเท่าๆกัน จึงอาจช่วยป้องกันโรคหวัดได้ อีกทั้งยังมีรายงานจากการวิจัยในห้องปฏิบัติการพบว่า ฤทธิ์สารต้านอนุมูลอิสระในสตรอเบอร์รี่ปกป้องเซลล์ประสาทได้ดี ซึ่งบริเวณจอประสาทตามีเซลล์ประสาทสำหรับการรับภาพอยู่มาก

 

การรับประทานผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่หรือในรูปเบอร์รี่สกัดเข้มข้น จึงช่วยให้ได้สารอาหารบำรุงสายตามากมาย ลดอาการเหนื่อยล้าและอาการเจ็บตารวมถึงป้องกันหรือชะลอความเสื่อมที่ก่อให้เกิดโรคทางสายตา แต่ต้องมีปริมาณที่มากพอและเหมาะสมที่จะส่งผลต่อสุขภาพตา การรับประทานผลไม้เบอร์รี่ในรูปสกัดเข้มข้นย่อมได้สารแอนโธไซยานินและสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ ในปริมาณมากกว่าการรับประทานผลสด หรือเตรียมเอง ทำให้ได้อาหารบำรุงตามากขึ้นในการป้องกันโรคและความผิดปกติที่เกิดกับดวงตา เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการดูแลสุขภาพดวงตาของคนยุคดิจิตอล ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของตาก่อนเวลาอันควรอย่างแท้จริง และนอกจากผลไม้ในกลุ่มเบอร์รี่แล้ว ยังมีผักและผลไม้อื่น ๆ ที่ช่วยในการบำรุงสายตาเช่นกัน ได้แก่ แครอท ผักบุ้ง ตำลึง ผักคะน้า มะละกอ มะม่วงสุก เป็นต้น

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

 

ความจริงน่าสยองเกี่ยวกับมันฝรั่งทอด กินวันละห่อเท่ากับดื่มน้ำมันปีละ 5 ลิตร

600wqetqwt

คุณอาจเย้ยหยันข้อแนะนำนี้ แต่คำแนะนำที่ว่ามาพร้อมกับหลักฐานใหม่ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าอาหารว่างคือข่าวร้าย ไม่ใช่แค่กระตุ้นโรคอ้วนและโรคหัวใจเท่านั้น แต่มันยังโยงไปถึงปัญหาการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งในเด็ก และอาจรวมถึงโรคมะเร็งในผู้ใหญ่ด้วย
ความเสี่ยงดังกล่าวคงไม่คับขันมาก หากไม่มีสัญญาณอันตรายจากพฤติกรรมชอบขบเคี้ยวมันฝรั่งทอดมากขึ้นในอังกฤษ สัปดาห์ที่แล้วยูกอฟโพลพบว่า 1 ใน 3 ของเด็กอังกฤษกินมันฝรั่งทอดทุกวัน อีก 2 ใน 3 ของเด็กอังกฤษกินสัปดาห์ละหลายครั้ง

ข้อเท็จจริงระบุว่า ชาวอังกฤษสวาปามมันฝรั่งทอดปีละ 6,000,0000,000 ห่อ ซึ่งเท่ากับการรับประทานมันฝรั่งทอด 1 ตันทุกๆ 3 นาที หรือเกือบๆ คนละ 100 ห่อ การทานมันฝรั่งทอดวันละห่อแบบที่เด็กอังกฤษมากมายเป็นอยู่ อาจเทียบได้กับการดื่มกินน้ำมันปรุงอาหารเกือบ 5 ลิตรต่อปี นั่นยังไม่รวมถึงไขมัน, น้ำตาลและเกลือที่บรรจุอยู่ในแต่ละห่อด้วย

ทั้งหมดนี้อาจดูไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในห่อขนมหน้าตาบริสุทธิ์ชวนหยิบ ที่อัดแน่นอยู่บนชั้นวางของร้านค้าหัวมุมถนน, ซูเปอร์มาร์เก็ตและปั๊มน้ำมัน แต่โลโก้ตลกและสีสันสดใสแปะหน้าผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการผลิตมาอย่างสมบูรณ์แบบนั้น ช่างเย้ายวนตุ่มรับรสของเราให้เสพติด
ข้อมูลข้างต้นตรงกับคำกล่าวของไมเคิล มอส ผู้เขียนหนังสือที่เพิ่งตีพิมพ์ใหม่ ชื่อ “เกลือ, น้ำมัน, ไขมัน : วิธีที่บริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ล่อเหยื่อเรา” การสำรวจของมอสเปิดเผยให้เห็นว่า การค้นคว้าวิจัยยาวนานหลายทศวรรษของบริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ ได้เปลี่ยนรูปมันฝรั่งทอดจากแค่เป็นอาหารว่างล่อใจคนวัย 70 มาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อเจาะจงเล่นงานศูนย์รวมความปรารถนาในสมองของเราด้วยเคมีที่ใช้
มอสอธิบายว่า เมื่อปากของเราขบเคี้ยวมันฝรั่งทอด รสเค็มของเกลือจะกระทบเราเกือบทันที นั่นคือผลกระทบที่อุตสาหกรรมเกลือเรียกว่า “การระเบิดของรสชาติ” มันฝรั่งทอดยุคใหม่ยังอุดมด้วยไขมันที่มอบสิ่งที่อุตสาหกรรมนี้เรียกว่า “ความรู้สึกในปาก” มันทำให้ประสบการณ์การกินมันฝรั่งทอดยุคสมัยใหม่คล้ายคลึงกับความรู้สึกพึงพอใจเมื่อคุณได้รับยามกัดชีสนุ่มหนึบ
เรารู้สึกถึงไขมันนี้ผ่านประสาทที่เรียกว่า ไทรเจมินัล ที่อยู่ด้านบนและหลังปากของเรา มันส่งข้อมูลการรู้สัมผัสไปยังสมอง ยิ่งคุณรู้สึกในปากมากเท่าไร คุณก็ยิ่งปรารถนามันมากขึ้นเท่านั้น นอกเหนือจากเกลือและไขมัน ยังมีน้ำตาลซึ่งมีในแป้งมันฝรั่งอยู่แล้วโดยธรรมชาติ มอสกล่าว ว่า นี่คือสามรสชาติที่เติมเต็มสิ่งที่สัญชาตญาณในสมองของเราปรารถนาโดยธรรมชาติ แต่อาวุธลับสุดท้ายของมันฝรั่งทอดปัจจุบันนี้คือความกรุบกรอบที่ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาแล้ว
“การวิจัยพบว่า ยิ่งมันฝรั่งทอดมีเสียงกรุบกรอบ เมื่อถูกขบกัดมากเท่าไร คนก็ยิ่งชอบมันมากขึ้นเท่านั้น” มอสกล่าวพวกมันถูกออกแบบมาให้กินแล้วติด นี่คือสิ่งที่ผู้ผลิตของกินเล่นยักษ์ใหญ่พากันแสวงหาความกรุบกรอบยั่วยวนใจที่สมบูรณ์แบบ พวกเขาค้นพบหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น “จุดเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์” (ดูเหมือนว่าเราจะรักมันฝรั่งทอดที่ปลดปล่อยแรงดันทุก 4 ปอนด์ต่อ 1 ตารางนิ้ว)

กลเม็ดอีกอย่างคือ การติดฉลากผลิตภัณฑ์ว่าเป็น “อาหารประณีต” อย่างกับว่าส่วนประกอบของอาหารเหล่านี้ไม่ได้แย่ต่อสุขภาพหากเรากินมันมากไป เหล่านี้ช่วยอธิบายได้ว่าเหตุใดพวกเราหลายคนจึง “รัก” มันฝรั่งทอด แต่รสจัดๆ ของไขมัน น้ำตาล และเกลือที่ยั่วยวนเหลือเกินนี้ก็อาจมีราคาแพงต่อสุขภาพของเราหากรับประทานมากเกินไป งานวิจัยต่างพิสูจน์แล้วว่าส่วนประกอบอาหารพวกนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดันเลือดสูง เบาหวานชนิด 2 และโรคเส้นเลือดอุดตัน
สำหรับเด็ก การกินมากไปสามารถทำให้พวกเขามีสุขภาพย่ำแย่ไปชั่วชีวิต ยิ่งกว่านั้นปัจจุบันวิทยาศาสตร์ยังเปิดโปงภัยคุกคามซ่อนเร้นเพิ่มเติมของมันฝรั่งทอดด้วย ตอนนี้มันฝรั่งทอดคือตัวการใหญ่ตัวการเดียวของโรคอ้วนระบาดในสหรัฐ จากงานวิจัยของ ดร.ดาริอุช โมซัฟฟาเรียน นักวิจัยอาหารและหทัยแพทย์ ที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ เขาบอกว่า “อาหารแต่ละอย่างนั้นไม่เท่ากัน และการกินแบบพอประมาณก็ยังไม่พอ”

ในงานวิจัยของเขา มันฝรั่งที่เป็นอาหารทุกชนิดโดดเด่นในฐานะตัวเพิ่มน้ำหนัก โดยเฉพาะมันฝรั่งทอด พวกมันไม่ใช่แค่หาซื้อง่ายและมีไขมันสูงเท่านั้น แต่มันยังทำให้คุณมีความต้องการทางร่างกายอยากกินมันมากขึ้น

ดร.โมซัฟฟาเรียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเวชศาสตร์และวิทยาการระบาดแห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ฮาร์วาร์ด กล่าวว่า การวิจัยบ่งชี้ว่าระดับแป้งและคาร์โบไฮเดรตปริมาณสูงในห่อมันฝรั่งทอดขนาดใหญ่ที่วางขายทั่วไปทุกวันนี้ สามารถกระทุ้งระดับกลูโคสและอินซูลินที่บิดเบี้ยวในกระแสเลือดของเราได้
ความไม่สมดุลนี้ “ทำให้เกิดความรู้สึกที่ยังไม่อิ่ม เพิ่มความหิวและทำให้เรากินอาหารต่อมื้อปริมาณมากขึ้น” ผลลัพธ์ก็คือ มันเย้ายวนให้เราทานมันฝรั่งทอดเพิ่มขึ้นอีก ดร.โมซัฟฟาเรียนผู้ที่ทานมันฝรั่งทอดคราวละนิดหน่อยแค่เดือนละ 1- 2 ครั้ง กล่าว

การทานมันฝรั่งทอดปริมาณมากอาจไม่ใช่แค่ทำให้ร่างกายของเด็กและผู้ใหญ่ไม่สมดุลเท่านั้น แต่มันยังสามารถทำร้ายทารกที่ยังไม่ถือกำเนิดด้วย งานวิจัยของอังกฤษเผยว่า หญิงมีครรภ์ที่ทานมันฝรั่งทอดแผ่นบางและแบบกรอบปริมาณมากๆ อาจทำร้ายลูกในครรภ์พอๆ กับการที่แม่สูบบุหรี่เลย นั่นเป็นผลจากสารเคมีพิษที่อยู่ในขนมที่มีชื่อว่า อะคริลาไมด์ ซึ่งเป็นสารไร้รสไร้กลิ่นและมองไม่เห็น แต่สามารถทำลายดีเอ็นเอได้

อะคริลาไมด์เป็นสารพิษต่อประสาทที่พบครั้งแรกในพลาสติกและอุตสาหกรรมย้อมสี 10 ปีก่อนนักวิทยาศาสตร์สวีเดนค้นพบว่า สารชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในปริมาณมาก ผ่านกระบวนการแปรรูปอาหารประเภทแป้ง เช่น มันฝรั่งทอด ในการผลิตแบบอุตสาหกรรมที่อุณหภูมิสูง
ผลการศึกษาโดยสถาบันวิจัยสุขภาพแบรด ฟอร์ดยังพบความเชื่อมโยงระหว่างการรับอะคริลาไมด์ปริมาณสูง กับขนาดของศีรษะและน้ำหนักตัวที่น้อยของทารกแรกเกิด

งานวิจัยชิ้นดังกล่าว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาทั่วยุโรปที่ตีพิมพ์ลงวารสาร Environmental Health Perpectives ศึกษาการรับประทานอาหารของหญิงมีครรภ์ในแบรดฟอร์ด 186 ราย  พบว่า ลูกๆ ของพวกเธอมีระดับอะคริลาไมด์สูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการศึกษาของศูนย์อีก 5 แห่งในยุโรป และสูงกว่าทารกในเดนมาร์กเกือบ 2 เท่า

นักวิจัยกล่าวกันว่า แหล่งที่มาของอะคริลาไมด์ที่บรรดาว่าที่คุณแม่ในแบรดฟอร์ดได้มานั้นมาจากมันฝรั่งทอด
“มาตรวัดทั้ง 2 อย่างนี้เป็นปัจจุบันสำคัญของความเสี่ยงต่อสุขภาพทารก” จอห์น ไรต์ นักวิทยาการระบาดและที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขผู้นำการวิจัยที่ แบรดฟอร์ด กล่าว

เขาเสริมว่า ทั้งสองอย่างนี้เชื่อมโยงถึงปัญหาที่เกิดตามมา เช่น พัฒนาการสมองและระบบประสาทที่ช้าลง, เบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจ “เมื่อคุณเติมอะคริลาไมด์เข้าไปปนเปื้อนกับไขมัน, น้ำตาลและเกลือที่มันฝรั่งทอดมีมากอยู่แล้ว มันฝรั่งทอดนี้ก็จะมีระดับสารพิษเหมือนกับที่ผู้หญิงท้องสูบบุหรี่” ดร.ไรต์กล่าว

เด็กวัยรุ่นที่ทานมันฝรั่งทอดมากเกินอาจเสี่ยงอันตรายแบบอื่นๆ ด้วย เช่น สมาธิสั้นและพฤติกรรมเสพติด ผลการศึกษาในห้องปฏิบัติการทดลองที่เผยแพร่ในวารสารพลอสวัน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ รายงานว่า เมื่อหนูถูกเลี้ยงด้วยมันฝรั่งทอดที่ผลิตเชิงพาณิชย์ สมองของพวกมันจะมีร่องรอยของกิจกรรมที่ต่างไปจากปกติเมื่อศึกษาด้วยอุปกรณ์แสดงภาพไฮเทค

นักเคมีอาหารจากมหาวิทยาลัยเออร์ลันเกนนูเรมเบิร์กของเยอรมนี ให้ข้อมูลว่า พื้นที่ของสมองที่ปกติจะเกี่ยวข้องกับการนอนหลับกลับถูกยับยั้งไว้ ส่วนพื้นที่ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกายกลับมีกิจกรรมมากขึ้นกว่าปกติ การเปลี่ยนแปลงแบบนั้นในมนุษย์อาจทำให้พวกเขามีพฤติกรรมสมาธิสั้นได้
ผลร้ายอีกอย่างที่เกิดจากการกินมันฝรั่งทอดในเด็กก็คือมันทำให้ฟันผุ “มันเป็นสิ่งหนึ่งที่เลวร้ายที่สุดกับฟันของเรา เพราะมันสามารถติดผิวฟันอยู่ได้นานเป็นชั่วโมงๆ” ดร.ไนเจล คาร์เตอร์ ประธานบริหารมูลนิธิสุขภาพฟันอังกฤษ เตือน

“ในรายการส่วนผสมอาหาร ปริมาณน้ำตาลดูเหมือนจะต่ำ แต่รายการนี้ระบุถึงน้ำตาลในรูปปกติเท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึงน้ำตาลในรูปแบบที่ซับซ้อนกว่า เช่น คาร์โบไฮเดรต ซึ่งการเคี้ยวของเราทำให้มันกลายเป็นน้ำตาล”.–จบ–

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

เผยภัยเงียบจากแป้งทาตัวเด็ก

kkjc6gf76i5hb69ijbgc7

 

         คุณแม่ยุคก่อน แทบจะเรียกได้ว่าใช้แป้งเด็กกับลูกเป็นสรณะ ทั้งใช้เมื่ออาบน้ำเสร็จเวลาลูกมีผดผื่น เปียกชื้น ประแป้งที่หน้าให้ดูน่ารัก แต่คุณแม่ยุคใหม่ปัจจุบันดูจะลดความสำคัญกับแป้งฝุ่นลงไป เพราะแพทย์ต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า “แป้งทาตัวเด็กส่วนใหญ่ไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กทุกวัย” โดยผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้เรื่องนี้ในงานเปิดตัวแป้งไรซ์แคร์ เมื่อเร็วๆ นี้

รศ.ดร.ไสยวิชญ์ วรวินิต ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีแป้ง (Starch Technology) และนักเทคโนโลยีดีเด่นของมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี 2549 ได้ให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับสารทัลคัมว่า แป้งฝุ่นโดยทั่วไปทำจากสารทัลคัม ซึ่งมีชื่อทางเคมีว่า Magnesium Silicate Hydroxide แม้ไม่อาจทำให้เกิดการตกค้างจากการใช้ผลิตภัณฑ์ในระยะเวลาสั้นก็ตาม แต่เนื่องจากหินแร่ทัลคัมไม่สามารถย่อยสลายเองได้ด้วยจุลินทรีย์ตามธรรมชาติ หากสูดเข้าไปทีละเล็กละน้อยเป็นเวลานานๆ เกิดการสะสมในปอด โดยที่เซลล์บุผิวปอดจะดักจับแป้งไว้เป็นก้อน ทำให้มีปัญหากับการหายใจ ถ้าเป็นทารกก็อาจทำให้ปอดอักเสบ เกิดเป็นโรคเนื้องอกในปอด (Talcosis) และเสียชีวิตได้

“เนื่องจากความไม่ปลอดภัยในการใช้แป้ง “ทัลคัม” แพทย์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้แป้งทาตัวเด็กที่มีส่วนผสมของทัลคัม และผู้ผลิตชั้นนำได้หันมาเลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ อาทิ แป้งข้าวโพด เพื่อทดแทนแร่หินทัลค์ (Talc)” และในปัจจุบันมีความนิยมใช้แป้งเด็กที่ทำมาจากแป้งข้าวเจ้าบริสุทธิ์ (Rice Starch) กันมากขึ้น เนื่องจากมีความปลอดภัยมากกว่าแป้งทัลคัม เพราะเป็นสารอินทรีย์ ทำให้สามารถย่อยสลายได้โดยจุลินทรีย์ในธรรมชาติ ไม่เกิดการสะสมในปอดหรือใต้ร่มผ้า ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ และลดความเสี่ยงจะก่อให้เกิดมะเร็งรังไข่ นอกจากนี้ ยังปกป้องลูกน้อยจากผื่นคัน เพราะมีคุณสมบัติป้องกันความเปียกชื้นและการดูดซับไขมันสูงกว่าทัลคัม” ผู้เชี่ยวชาญให้ความรู้เป็นการปิดท้าย

         เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ไทย ได้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์แป้งเด็กที่ทำจากแป้งข้าวเจ้าบริสุทธิ์ได้สำเร็จ ภายใต้ชื่อแบรนด์ “ไรซ์แคร์” (ReisCare) ซึ่งมีเนื้อแป้งที่ขาวเนียน ละเอียดอ่อน ช่วยดูดซับความเปียกชื้น ที่สำคัญปราศจากส่วนผสมของแป้งทัลคัม เพราะผลิตจากแป้งข้าวเจ้าที่ผ่านกระบวนการผลิตและฆ่าเชื้อด้วยกรรมวิธีที่ทันสมัย จึงสะอาดปลอดภัย ไม่ระคายเคืองต่อผิวที่บอบบางของเด็ก ที่สำคัญไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ และเนื่องจากแป้งชนิดนี้ทำจากข้าวซึ่งเป็นสารอินทรีย์ จึงทำให้สามารถย่อยสลายได้โดยจุลินทรีย์ในธรรมชาติของร่างกาย จึงปลอดภัยต่อผู้ใช้ จนได้รับรางวัล 1 ใน 10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรมแห่งชาติ ปี 2549
ที่มา : คมชัดลึก และ แนวหน้า

 

White share with Canon wifi

 

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดว่า รูป 1 รูปสามารถแทนคำพูดได้เป็นล้านๆ คำ ร่วมติดตามกิจกรรมดีๆ White Share with Canon ได้เร็วๆ นี้ 

รายละเอียดเพิ่มเติม http://www.canon.co.th/wificonnect

 

 

 

 

เคล็ดลับง่ายๆ ยืดอายุการใช้งานรถให้อยู่กับเราไปนานๆ

190840

คอลัมน์ คาร์ทิป มติชน 10 เมษายน 2556

 

เคล็ดลับพื้นฐานช่วยให้ยืดอายุการใช้งานให้รถยนต์ของคุณ มีดังนี้

1.ดูแลยางรถให้มีความดันลมในระดับที่เหมาะสมเสมอ หากมีความดันต่ำเกินไป จะทำให้ยางสึกหรอและสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง

2.อย่าเก็บสัมภาระที่ไม่จำเป็นไว้ในรถ เพราะน้ำหนักส่วนเกินจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น และเป็นเหตุให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้นอีกด้วย

3.เมื่อออกตัว ค่อยๆ เร่งความเร็วอย่างนุ่มนวล ไม่กระชาก อย่าเหยียบคันเร่งแรงๆ เมื่อสตาร์ตเครื่อง เปลี่ยนเกียร์สู่รอบสูงให้เร็วที่สุด เท่าที่เป็นไปได้

4.อย่าปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาเป็นเวลานาน หากต้องจอดรถรอเป็นเวลานาน ควรดับเครื่องยนต์ และติดเครื่องใหม่ภายหลัง

5.อย่าปล่อยให้เครื่องยนต์รอรอบหรือหมุนรอบมากเกินไป ใช้ตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสมกับลักษณะถนนที่รถของท่านกำลังแล่นอยู่

6.หลีกเลี่ยงการขับขี่แบบหยุดๆ แล่นๆ การขับขี่แบบนั้นทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง

7.อย่าเหยีบบแป้นคลัตช์หรือแป้นเบรกค้างไว้ เพราะจะทำให้เกิดการสึกหรอโดยไม่จำเป็น รวมทั้งเกิดความร้อนจัดเกินไป และสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง

8.ตรวจเช็กล้อรถทั้งหมดให้ได้รับการตั้งศูนย์ที่ถูกต้องเสมอ การตั้งศูนย์ไม่ถูกต้องจะทำให้ล้อสึกเร็วขึ้น และทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นด้วย

9.ปรับแต่งและดูแลเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ

10.การขับรถให้ประหยัดน้ำมันทำได้ไม่ยาก เพียงแต่พยายามขับรถด้วยความนุ่มนวล ซึ่งจะช่วยให้รถของคุณ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นด้วย

11.จอดรถไว้ในร่มแทนที่จะเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ตลอดเวลา

12.ท่านควรตรวจสอบความปลอดภัยก่อนเริ่มออกเดินทาง การนำรถไปให้ช่างเครื่องตรวจสอบจะช่วยให้แน่ใจในความปลอดภัยและทำให้สบายใจในระหว่างการขับขี่

ภัยร้าย “โลกออนไลน์” เอาชนะได้ แค่ “จับมือ” ไปด้วยกัน

13654705431365470581l

 

ภัยร้าย “โลกออนไลน์” เอาชนะได้ แค่ “จับมือ” ไปด้วยกัน

โดย อรปวีณ์ วงศ์วชิรา

“ผมกลัววันที่เทคโนโลยีมีความสำคัญเหนือกว่าการโต้ตอบปฏิสัมพันธ์ของเราเอง เมื่อนั้นโลกเราจะอยู่ในช่วงยุคแห่งความโง่เขลา”

คำกล่าวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีคนกดแชร์ในโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นจำนวนมาก

คงเป็นอย่างที่นักฟิสิกส์สติเฟื่องกล่าวไว้ เพราะไม่ว่าจะเดินไปทางไหน มักเห็นผู้คนก้มหน้าก้มตาจ้องมองที่หน้าจอโทรศัพท์และแท็บเล็ตของตัวเอง ละเลยการสนทนากับคนข้างๆ กระทั่งเกิดคำพูดล้อเลียนว่า “ระวัง สมองจะเล็กเท่านิ้วโป้ง”

พฤติกรรมจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์และพูดคุยกับผู้คนในโซเชียลเน็ตเวิร์กนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่นหรือวัยทำงานเท่านั้น แต่แพร่กระจายไปยังกลุ่มเด็กเล็กด้วย กระทั่งหน่วยงานหนึ่งตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ คือ “โรงพยาบาลมนารมย์” ได้จัดเวทีเสวนาหัวข้อ “การดูแลลูกในยุค Social Network” เพื่ออธิบายถึงการเลี้ยงดูและตอบคำถามคาใจของผู้ปกครองหลายคน ว่าจะดูแลลูกในยุคโซเชียลเน็ตเวิร์กได้อย่างไร

เป็นการสร้างความตระหนักและรู้เท่าทันประโยชน์และโทษจากเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย ลดช่องว่างระหว่างวัย และสร้างความเข้าใจ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับลูกหลานในโลกที่การสื่อสารไร้พรมแดน

“อัจฉรา บุนนาค” นักจิตบำบัด เริ่มต้นการบรรยายด้วยคำถามว่า “ทำไมเราถึงอยากมีลูก” ผู้ปกครองหลายคนตอบว่า เพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูลบ้าง ไว้เป็นเพื่อนยามแก่ชราบ้าง บ้างก็บอกว่า ลูกเป็นหลักประกันความมั่นคงของชีวิตคู่ เมื่อสังเกตจากคำตอบส่วนใหญ่ สะท้อนว่าพ่อแม่มีลูกเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง

“ในปัจจุบัน เราอยากมีลูก สิ่งที่ต้องคิดต่อคือจะเลี้ยงลูกอย่างไร เพราะสังคมสมัยใหม่ทำให้เด็กกลายเป็นเด็กดิจิตอล นอกจากพ่อแม่ผู้ปกครองคอยเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนเด็กแล้ว ยังมีเพื่อนในโลกแห่งความจริงและโลกเสมือนจริง ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักคอยอบรมสั่งสอน หากเป็นไปในทางที่ไม่ดีก็ยากที่ผู้ปกครองจะดูแลอย่างทั่วถึง เพราะโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและควบคุมยากมาก” อัจฉราแสดงความเป็นห่วง

การใช้สังคมออนไลน์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์, ไลน์, อินสตาแกรม ล้วนเป็นพื้นที่สาธารณะ สามารถให้ข้อมูลหรือความคิดเห็นต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง ความบันเทิง หรือการเรี่ยไร เป็นต้น แน่นอนว่ามีทั้งผลดีและผลเสีย

อัจฉราบอกว่า ผลเสียที่ตามมาจากการอยู่ในโลกเสมือนจริงมากเกินไป คือพฤติกรรมก้าวร้าวและการกลั่นแกล้งทางอินเตอร์เน็ต (Cyber Bullying) เช่น การโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสม การนำเรื่องราว ชื่อ-นามสกุล หรือภาพต่างๆ ของผู้เสียหายมาโพสต์เพื่อให้เกิดความอับอายหรือเสียชื่อเสียง ทั้งยังเป็นช่องทางในการหาประโยชน์ทางเพศจากผู้เยาว์ เช่น ประเทศแถบยุโรปที่มีคนฆ่าตัวตายเพราะโดนกลั่นแกล้งทางเฟซบุ๊ก

สำหรับการใช้อินเตอร์เน็ต ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย คือ การเล่นเกมออนไลน์ จากผลการวิเคราะห์พบว่าเหตุผลที่คนเล่นเกมออนไลน์ก็เพื่อคลายความเหงา การขาดวินัย การขาดเอกลักษณ์หรือบุคลิกส่วนตัวและมีปัญหาครอบครัว เช่น ไม่พูดจากับพ่อแม่ หรือคุยกันไม่รู้เรื่อง เป็นต้น

“เกมเป็นเหรียญ 2 ด้าน ด้านดีคือ ทำให้เกิดความสนุกสนาน คลายเครียด ฝึกทักษะ ฝึกการประสานกันระหว่างมือกับตา ฝึกการทำงานของกล้ามเนื้อ และเป็นตัวช่วยฝึกสมาธิที่ดีสำหรับเด็กสมาธิสั้น”

“ส่วนด้านที่เป็นผลเสีย คือ ด้านกายภาพ จะมีโรคภัยต่างๆ เข้ามาเยือน การเสพติด เกิดความตื่นเต้นเกินธรรมชาติ ขาดความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว มีความฉลาดทางอารมณ์หรืออีคิวต่ำ เพราะอยากชนะจนหงุดหงิดจนไม่สามารถแบ่งแยกโลกได้ ความฉลาดทางปัญญาหรือไอคิวก็ต่ำ เพราะขาดการเรียนรู้ไปช่วงหนึ่ง ขาดการติดต่อกับคนอื่น ไม่มั่นใจในตัวเอง เด็กจึงหลีกเลี่ยงสังคมด้วยการเล่นเกม” นักจิตบำบัดกล่าว และว่า สาเหตุที่เด็กติดเกม มาจากการเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่กว้างขวางและสามารถเข้าถึงง่าย สามารถตอบสนองความต้องการทางจิตใจของเด็ก ครอบครัวขาดวินัย

วิธีการแก้ปัญหาเด็กติดเกมสำหรับผู้ปกครอง คือ สร้างวินัยและความรับผิดชอบ, ลดโอกาสการเข้าถึงคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต, มีการสื่อสารที่ดีต่อกัน, ใช้มาตรการการเงิน เช่น ลดค่าขนม และมีทางออกที่สร้างสรรค์แก่เด็ก เช่น กีฬา เล่นดนตรี เป็นต้น

อัจฉราแนะว่า วิธีการป้องกันเด็กติดเกม คือ 1.ควรกำหนดกติกาและเวลาเล่นว่านานแค่ไหน แต่ไม่ควรเคร่งครัดจนเกินไปเพราะเด็กอาจหนีไปเล่นนอกบ้าน 2.ไม่วางคอมพิวเตอร์ในห้องส่วนตัว เพราะจะเล่นได้ตลอดเวลา และการกระทำต่างๆ จะไม่อยู่ในสายตาของผู้ปกครอง เช่น การดาวน์โหลดสิ่งไม่ดีต่างๆ 3.ตอบแทนและลงโทษอย่างเหมาะสม เมื่อทำตามคำสั่งก็ควรให้รางวัลตอบแทนเพื่อให้เกิดการปฏิบัติซ้ำ 4.ฝึกระเบียบวินัยให้เด็ก ไม่ใช่การสั่ง และ 5.พ่อแม่เองควรมีความรู้เกี่ยวกับเกมออนไลน์ เช่น เข้าใจภาษาที่ลูกใช้ เพื่อรู้เท่าทันสิ่งต่างๆ

“ผู้ปกครองอย่าสั่งเด็กจนเกินไป เพราะเมื่อเด็กโตขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งก็จะเถียงและสั่งเรากลับ เป็นการไม่เชื่อคำสอนและไม่เชื่อในตัวพ่อแม่ จึงควรพูดจากับเด็กดีๆ ส่วนเรื่องกฎระเบียบต่างๆ นั้นพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก เมื่อลูกทำได้ดีก็ควรกอดเขาและย้ำว่าสิ่งที่เขาทำนั้นดีแล้ว เด็กจะเกิดความภูมิใจในตัวเองและเป็นการสร้างความเป็นตัวเองของเด็ก” อัจฉรากล่าว

ในส่วนประเด็นเกมออนไลน์ “วิชาญ หวังปิติพาณิชย์”  เจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Support) ที่คุ้นเคยกับสังคมออนไลน์ตั้งแต่เริ่มเล่นเพจเจอร์จนถึงเฟซบุ๊กและเกมออนไลน์ต่างๆ กล่าวว่า ผู้ประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีเหล่านี้ ต้องวิเคราะห์ว่าเด็กต้องการอะไร เช่น เกมออนไลน์ จะสร้างความเป็นส่วนตัวแก่ผู้เล่น ให้สามารถบริหารจัดการโลกของตัวเองได้ ส่วนเด็กหรือวัยรุ่นคิดว่าเกมนั้นเป็นโลกเสมือนจริง เขาจะพาตัวเองเข้าไปและคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่ ซึ่งต่างกับโลกของความเป็นจริง เด็กจึงติดเกมเพราะมันเหมือนโลกแห่งความฝันและสนุกสนาน

ด้าน “ศรีสุรางค์ อธิวัฒน์ประชากุล”  ผู้ปกครอง ที่นำปัญหาของลูกชายมาปรึกษา บอกว่าเพื่อนที่โรงเรียนของลูกมีแท็บเล็ตส่วนตัวและเล่นกันสนุกสนาน เมื่อลูกชายกลับบ้านจึงขอเล่น จึงให้เล่น แต่เล่นพอประมาณ และสร้างกติกากับลูกว่าหากมาขอเล่นต้องทำความดีก่อนจึงจะให้เล่น ซึ่งลูกชายก็ทำตาม กระทั่งผ่านมาระยะหนึ่งลูกชายมาถามว่าเพื่อนๆ เขาทำความดีอะไรถึงได้เล่นแท็บเล็ตตลอดเวลา คำถามนี้ทำให้ตระหนักได้ว่าผู้ปกครองต้องสร้างความภูมิใจแก่ลูก เด็กจึงมั่นใจในตัวเองแม้จะอยู่ในสังคมที่ห้อมล้อมไปด้วยแท็บเล็ตก็ตาม

อัจฉรากล่าวทิ้งท้ายว่า การวางกฎระเบียบนั้นต้องสร้างข้อตกลงไปด้วยกัน คือ การมอบโอกาสให้เด็กได้พูดและรับฟังความคิดเห็นกันและกัน อาจเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองไม่คุ้นเคยแต่มันไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะการมีข้อตกลงร่วมกันทำให้เด็กมีส่วนร่วมในการสร้างกฎระเบียบ เมื่อเด็กเป็นเจ้าของกฎก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกสั่ง การทำตามกฎจึงได้ผลดี

“สิ่งสำคัญที่ต้องเริ่มทำ คือ การเปลี่ยนแปลงที่ตัวผู้ปกครองทันที” อัจฉรากล่าว

หากแต่ละครอบครัวมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน อันเป็นพื้นฐานในการเข้าใจสภาพสังคมที่แตกต่าง เราคงสามารถก้าวผ่านสังคมออนไลน์ซึ่งมีอิทธิพลต่อเด็กได้ง่ายขึ้น

หน้า 20,มติชนรายวัน ฉบับวันอังคารที่ 9 เมษายน 2556

 

 

เฟซบุ๊กทำให้คู่รักผิดใจกันได้อย่างไร?

600

วันก่อนเจอคุณแม่กลุ่มหนึ่งที่มีลูกย่างเข้าสู่วัยรุ่นสุมหัวคุยกันถึงพฤติกรรมของบุตรสาว คุณแม่ท่านนึงเล่าว่า วันๆลูกสาวเอาแต่เล่นเฟซบุ๊ก ซึ่งหากเล่นเพื่อ              พูดคุยหรือติวการบ้านกับเพื่อนฝูงในชั้นเรียนของลูกๆก็ไม่เป็นไร แม่ย่อมเข้าใจเพราะใครๆต้องมีเพื่อนไว้คอยกระเซ้าเย้าแหย่หรือปรึกษาหารือกัน

แต่กลายเป็นว่า ระยะหลังๆ ลูกสาวตัวดีเอาแต่เล่นเฟซบุ๊กเพื่อจะได้พูดคุยกับ “ผู้ชาย” ซึ่งแม่เองก็ไม่รู้ว่าผู้ชายที่ว่านี้คือใคร? เป็นเพื่อนชายร่วมโรงเรียนเดียวกันกับลูกหรือเป็นหนุ่มแปลกหน้าที่รู้จักโดยบังเอิญในเฟซบุ๊กกันแน่? จึงทำให้หัวอกของคนเป็นแม่รู้สึกห่วงลูกสาวเป็นธรรมดา ว่า ถ้าขืนเอาแต่เล่นเฟซบุ๊กกะผู้ชายอย่างนี้ เดี๋ยวเกิดชักชวนกันไปทำอะไรที่ถลำลึกเกินกว่าจะคาดเดา…ไม่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่หรือ?

ว่าตามตรง ในโซเชียล มีเดียสังคมออนไลน์ ใครๆก็รู้ว่าเฟซบุ๊กหรือช่องทางใดๆที่ใกล้เคียงกันนี้ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นอยู่กับ “ผู้ใช้” หรือ “ผู้ที่เข้าไปเล่น” ว่า จะใช้ใน ทางที่ถูกที่ควรหรือไม่

หากเข้าไปใช้ในทางที่ถูกต้องเหมาะสมก็มีประโยชน์มหาศาล ตรงข้ามถ้านำไปใช้ในทางพิลึกพิลั่น หรือหาแฟน, จีบกัน อาจเกิดเรื่องไม่งามเอาได้ เคยมีข่าวหนุ่มใหญ่หึงเมียที่คุยกับชายอื่นทางเฟซบุ๊ก จึงบันดาลโทสะยิงทั้งเมียและตัวเองตายอนาถไปพร้อมกันทั้งคู่ อีกตัวอย่างของพิษเฟซบุ๊ก มีข่าวสาวไต้หวันน้อยใจแฟน จึงฆ่าตัวตายผ่านเฟซบุ๊ก ด้วยการรมควันตัวเองภายในห้องพัก ย่านชานกรุงไทเป ก็เกิดขึ้นมาแล้ว

ย้อนไปที่คุณแม่ที่มีลูกสาวชอบเล่นเฟซฯอีกที คุณแม่ควรกล่าวเตือนบุตรสาวให้ เพลาๆการใช้โซเชียลมีเดียหน่อยนะ หากลูกมีเฟซบุ๊กก็ให้แอด (รับ) แม่เป็นเพื่อนของลูกด้วย แม่จะได้รู้ว่าลูกทำอะไรในนั้นบ้าง และหากแม่ว่างก็ชวนลูกไปทำกิจกรรมอื่นที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ด้วยกัน แต่หากเตือนลูกแล้วยังไม่เชื่อ อาจงัดวิธีของคุณพ่อที่ยอมจ่ายให้ลูกสาว 200 ดอลลาร์ (ราว 6 พันบาท) ให้เลิกเล่นเฟซบุ๊ก 5 เดือนมาใช้ก็ได้

ตามข่าวมีอยู่ว่า หนุ่มชาวอเมริกัน นายพอล ไบเออร์ ทำสัญญาฉบับหนึ่งขึ้นมาให้ลูกสาวเซ็นว่าจะไม่เล่นเฟซบุ๊กนาน 5 เดือนเพื่อแลกกับเงินจำนวนนี้ จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก โดยการจ่ายค่าจ้างนี้ไม่ได้จ่ายครั้งเดียว แต่จ่ายเป็นงวดตามข้อตกลง ซึ่งนายพอลอ้างว่า ไอเดียนี้เป็นของลูกสาว ไม่ใช่ของเขาเอง เพราะลูกอยากหาเงินใช้ ประกอบกับการเข้าไปเล่นเฟซบุ๊กทำให้เธอใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ แถมยังทำให้เสียสมาธิ ดูสิ เด็กยังคิดเป็น แต่เล่านี่บางทีผู้ใหญ่ไม่ต้องจ้างให้เด็กเลิกเล่นเฟซบุ๊กก็ได้ เพียงชวนเขาให้ไปสนใจสิ่งอื่นแทนซะ

พูดถึงเฟซบุ๊ก มีสิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างตรงการใส่รูปประจำตัว เพราะสามารถใส่รูปอะไรลงไปก็ได้ จะเป็นการ์ตูน, รูปสัตว์, เป็นรูปธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร หรือบางคนใส่ภาพจริงของตัวลงไปก็แล้วแต่ใจรัก กระนั้นพบว่า บางคนมีการปรับแต่งภาพให้ดูดีกว่าตัวจริง น่ารักกว่าและเผลอๆ อายุน้อยกว่า เพื่อหลอกตาผู้อื่น ส่วนอีกกรณีนึง บางคนเล่นเฟซบุ๊กจนจิตใจไม่อยู่กะเนื้อกะตัว ทำให้มีชู้ทางใจ แทนที่จะรักสามีหรือภรรยาของตัวเอง แต่กลับไปเพ้อรักคนอื่นในเฟซบุ๊กแทน เฮ่อ…ที่พูดนี่ไม่ใช่ว่าเฟซบุ๊กเป็นผู้ร้ายนะ เพราะคนที่ใช้ต่างหากล่ะที่ร้าย และใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ดังนั้นหากจะใช้ช่องทางสื่อสารทางออนไลน์ก็ควรใช้อย่างมีสติ…อาเมน

ทีนี้มาดูว่า เฟซบุ๊กมีสิทธิ์ทำให้คู่รักผิดใจกันได้อย่างไรกันเถอะ? นอกเหนือจากที่กล่าวไปแล้ว การใช้โซเชียลมีเดียอาจทำให้เกิดความแตกแยกและทำลายความสัมพันธ์ของคู่รักได้ด้วย เช่น… 1. หากคุณหรือแฟน เปิดใช้เฟซบุ๊กหรือเข้าไปดูอินเตอร์เน็ตนานๆ จะทำให้ความผูกพันกันลดลง

หากคู่รักใช้เวลาวันละหลายชั่วโมงหมดไปกับการใช้อินเตอร์เน็ต แทนที่จะมีเวลามาคุยกันหรือมีปฏิสัมพันธ์กันในชีวิตจริง เท่ากับสั่นคลอนความรู้สึกที่ผูกพันกันให้ห่างเหินก็ได้ เพราะมัวแต่ยุ่งกับอินเตอร์เน็ตและเฟซบุ๊กจนไม่เห็นความสำคัญของแฟนอีกต่อไป ขืนเป็นเช่นนี้ แล้วรักของเราจะเป็นไงต่อไปคงไม่ต้องสาธยาย

2. เมื่อวุ่นวายอยู่กับอินเตอร์เน็ตทั้งวันทั้งคืน ทั้งที่ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ซะหน่อย อ้าวงี้ มีสิทธิ์ทำให้คนรักของคุณน้อยใจเอาได้ ว่าเห็นอย่างอื่นสำคัญกว่าคนใกล้ตัว ยิ่งถ้าบ้านไหนมีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว โดยแฟนผูกขาดการใช้อยู่คนเดียว เดี๋ยวได้มีเรื่องให้ทะเลาะกันแหงๆ แต่ถ้ามีสองเครื่อง คนบ้านนี้ก็จะประชดด้วยการหันไปใส่ใจกับอินเตอร์เน็ต จนมีบ้านไว้อยู่ด้วยกันก็เหมือนกับอยู่กันคนละบ้าน

3. เข้าใจผิดกันง่ายมาก

หากสนุกกับเฟซบุ๊กและอินเตอร์เน็ตมากเกินไป ชอบคุยกับเพื่อนหรือคนแปลกหน้ามากๆ ระวังเหอะ จะทำให้อีกฝ่ายคิดว่าคุณปันใจไปให้คนอื่นแล้วละมั้ง ความระแวงจึงเกิดขึ้นได้ เพราะเห็นติดเฟซบุ๊กเหลือเกินนี่หว่า แถมยังมีการด่าทอต่อว่ากันผ่านเฟซบุ๊กเยอะนะ บางคนเห็นเฟซบุ๊กเป็นช่องทางระบายหรือไงไม่ทราบ

4. แฟนเก่าสามารถตามมาราวีผ่านทางเฟซบุ๊กได้ด้วย

ถ้าเคยมีคนรักแล้วรับกันเป็นเพื่อนทางเฟซบุ๊ก แต่ต่อมาเลิกกัน หลายคู่ก็ทำเป็นอ้างว่า ถึงเลิกกันก็เป็นเพื่อนกันได้ ทว่าเอาเข้าจริงไม่ใช่ทุกคู่ซะหน่อยที่ทำใจได้ หากปากกับใจไม่ตรงกัน ทำใจไม่ได้ ดังนั้นพอเห็นแฟนเก่ามีคนใหม่จึงเกิดหมั่นไส้ขึ้นมา ฮึ่มระวังโดนวิญญาณแฟนเก่าตามมาคอมเมนต์หรือค่อนขอดจนเสียเซลฟ์นะ.

โดย: เมอร์ลิน

ที่มา : http://www.thairath.co.th

กทม.เปิดให้ประชาชนตัดแว่นฟรี แจ้งชื่อได้ที่ศูนย์สาธารณสุขฯถึง 20 พ.ค.นี

นายสุนทร สุนทรชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาระบบสาธารณสุข สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักอนามัย ได้เปิดให้ประชาชนที่มีปัญหาทางสายตา และประสงค์จะขอรับการสงเคราะห์แว่นสายตาฟรี ขอให้นำหลักฐานสำเนาทะเบียนบ้านในเขตพื้นที่ ไปลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ที่ศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน ได้ตั้งแต่บัดนี้ ซึ่งได้เปิดให้ลงทะเบียนได้ที่ศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานครทั้ง 68 แห่ง โดยเปิดรับลงทะเบียนได้ถึงวันที่ 20 พ.ค. 56 นี้ ในปีนี้ได้เปิดให้ลงทะเบียนล่าช้ากว่าปกติเนื่องจากอยู่ในช่วงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) อย่างไรก็ตามในปีนี้ สำนักอนามัยได้รับจัดสรรงบประมาณประจำปี 56 ในการจัดหาแว่นสายตา เป็นวงเงิน 30 ล้านบาท โดยจะจัดหาผู้รับดำเนินการ ด้วยวิธีการอีอ๊อคชั่น ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือนหลังจากสิ้นสุดกำหนดรับลงทะเบียน ที่จะทราบยอดของผู้มีปัญหาทางสายตาที่ต้องการได้รับการสงเคราะห์จากกทม. ซึ่งในแต่ละปีจะมีผู้มาลงทะเบียนเป็นจำนวนหลายหมื่นคน โดยเมื่อประมาณปี 53 เคยมีผู้ลงทะเบียนสูงถึง 90,000 คน โดยในปีที่ได้รับงบประมาณมาน้อย แต่จำนวนผู้มาลงทะเบียนขอรับมีจำนวนมาก ก็จะต้องรอการจัดสรรงบในปีถัดไป
นายสุนทร กล่าวต่อว่า ในส่วนการเปิดรับลงทะเบียนที่ศูนย์สาธารณสุขฯ จะเป็นกลุ่มของประชาชนทั่วไป ที่ต้องมีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตกรุงเทพฯ หรือพักอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยก่อนหน้านี้สำนักฯ ได้ดำเนินการตรวจวัดสายตาและตัดแว่นสายตาให้กับกลุ่มของนักเรียนโรงเรียนกทม.ไปก่อนแล้ว ซึ่งโครงการดังกล่าวจะดำเนินการต่อเนื่องทุกปี เนื่องจากปกติแล้วผู้ที่มีปัญหาทางสายตาในช่วง 2-3 ปี ปัญหาสายตาจะมีการเปลี่ยนแปลง สำหรับโครงการดังกล่าว ยืนยันว่าขั้นตอนของการจัดหาผู้ดำเนินการใช้การอีอ๊อคชั่น ซึ่งราคาแว่นตา เป็นแว่นตามาตรฐานที่จะมีการตรวจวัดสายตาและใช้เลนส์ให้เหมาะสมกับปัญหาสายตา ดังนั้นคงไม่สามารถนำราคาไปเปรียบเทียบกับแว่นสายตาที่วางขายราคาถูกในท้องตลาด โดยทางผู้รับจ้างจะต้องจัดส่งแว่นสายตาภายใน 120 วันนับแต่ลงนามสัญญา คาดว่าจะสามารถจัดส่งแว่นสายตาให้ประชาชนได้ภายในปลายปีนี้.
–จบ–

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 27 มี.ค. 2556

ร้อนตับแลบระวัง’โรคลมแดด’

view_resizing_images

ประเทศไทยกำลังย่างเข้าสู่เดือนเมษา ยน เดือนที่ร้อนที่สุดในรอบปี หลายคนอาจจะกลัวโรคพิษสุนัขบ้าที่มาพร้อม อากาศร้อนๆ ซึ่งก็ต้องระวังเป็นพิเศษจริงๆ แต่ยังมีอีกหลายโรคที่มาพร้อมกับอากาศแบบนี้ นั่นคือ “โรคลมแดด” นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) มีคำแนะนำดีๆ ป้องกันโรคนี้ว่า สภาพอากาศของประเทศไทยในขณะนี้มีความไม่แน่นอนสูง ทั้งร้อนสลับหนาว หรือบางวันก็มีฝนตกจึงทำให้ประชาชนในหลายพื้นที่ไม่สามารถปรับตัวรับกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยในขณะนี้ได้ โดยเฉพาะอากาศที่ร้อนจัดอาจจะทำให้ประชาชนเสี่ยงต่อการเกิดโรคลมแดดหรือการเป็นลมจากอากาศร้อน (โรคฮีทสโตรค) ที่เกิดจากร่างกายไม่สามารถปรับอุณหภูมิได้ทันกับการที่ต้องไปอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศร้อนจัดอบอ้าวและไม่มีอากาศถ่ายเท
นพ.อนุชากล่าวอีกว่า โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้แม้กับคนที่ร่างกายแข็งแรง ซึ่งคนที่เป็นลมแดดนั้นสมองจะไม่ทำงานรวมถึงไม่สามารถควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ และอุณหภูมิในร่างกายได้ โดยคนที่เป็นลมแดดนั้นอุณหภูมิในร่างกายจะเพิ่มสูงกว่าปกติถึง 40 องศา ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะมีโอกาสในการเสียชีวิตสูงหากพบแพทย์ไม่ทันท่วงที
“ประชาชนต้องเฝ้าสังเกตอาการของตนเองด้วยว่ากำลังจะเป็นโรคลมแดดหรือไม่ โดยอาการเบื้องต้นของโรคนี้คือ 1.ไม่มีเหงื่อออก 2.กระหายน้ำมาก 3.ตัวร้อนขึ้นเรื่อยๆ 4.วิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ หายใจเร็วอาเจียน หากเกิดอาการดังกล่าวจำเป็นต้องหยุดพักทันทีและรีบโทร.แจ้งสายด่วน 1669 เพื่อนำตัวพบแพทย์ทันที”
สำหรับวิธีในการป้องกันตนเอง นพ.อนุชาแนะนำว่า ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว และหากต้องทำงานหรือปฏิบัติภารกิจภายใต้อากาศที่ร้อนจัดจะต้องดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร และควรเลือกสวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี อาทิ ผ้าฝ้าย พร้อมกับหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีแดดแรงๆ ด้วย
แม้อากาศจะร้อนแต่ใจอย่าร้อนตามแล้วกัน–จบ–

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน